วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

THE KITE RUNNER มิตรภาพ การทรยศ ความผิดบาป


"There is a way to be good again"
THE KITE RUNNER ถ่ายทอดเรื่องราว วัฒนธรรม และ ความรันทดของผู้คนในแผ่นดินที่ระอุด้วยไฟสงคราม ฉากหน้าของสงครามโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน และการเถลิงอำนาจของกลุ่มตาลีบัน ยังมีเรื่องราวของมิตรภาพ การทรยศหักหลัง ความผิดบาป และความสัตย์ซื่อของเด็กชาย 2 คน แห่งคาบูล 
อันตอกยำ้ด้านมืดของจิตใจมนุษย์

ยี่สิบหกปีที่แล้วที่ยังไม่มีคำว่ารัสเซียหรือตาลีบันให้รู้จัก ไม่มีเสียงปืนและเด็กไร้บ้านในยามค่ำคืน เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสดใส ยังเต็มไปด้วยว่าวหลากสีล่องลอยอยู่กลางกระแสลม ดอกไม้ยังบานสะพรั่งตามท้องถนนของกรุงคาบูล เด็กๆยังวิ่งเล่นในฤดูร้อนบนสนามหญ้าและนั่งเล่นการ์ดข้างเตาผิงยามหิมะตก และครั้งหนึ่งในโมงยามเหล่านั้น บนเนินเขา มีเด็กน้อยชื่ออาเมียร์กับฮัซซันนั่งเคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่ อ่านหนังสือและเล่านิทาน พร้อมกับแทะผลทับทิมไปด้วยกัน

Amir and Hassan . The Sultans of Kabul’



อาเมี่ยร์และฮัสซัน คือ เด็กชายใน คาบูล ที่เติบโตขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกัน ดื่มนมจากแม่นมคนเดียวกัน
แต่ถึงแม้จะอยู่ในอาณาเขตบ้านเดียวกัน แต่ชีวิตของพวกเขาอยู่คนละโลก อาเมียร์เป็นบุตรเจ้าบ้านผู้รำ่รวย แต่ฮ้สซันเป็นบตรของคนใช้ชาวซาฮารา ซี่งน่าเยาะหยันทั้งหน้าตาและชาติกำเนิด  แต่ความอัปลักษณ์นั้นไมาสามารถสดคุณค่า ความเป็นเพื่อน ความซื่อสัตย์และความเป็นบ่าวที่จงรักภักดีที่เขามีต่อ อาเมียร์ได้  อาเมียร์นั้นเป็นเด็กขี้ขลาด ฮัสซันที่อยู่ในฐานะลูกคนใช้ในบ้าน กลับเป็นคนที่กล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และคอยปกป้องช่วยเหลืออาเมียร์ เขาจงรักภักดีต่ออาเมียร์เป็นอย่างมาก ... เวลาที่ทั้งสองไปเล่นว่าว และมีว่าวสายขาดปลิวไปตก ฮัสซันจะเป็นคนวิ่งไปเก็บมาให้ เขาบอกกับอาเมียร์อยู่เสมอว่า 
“ถ้าคุณต้องการ จะให้วิ่งสักพันรอบ ผมก็จะทำ”


บ่ายวันท้องฟ้าสดใสในเมืองคาบูล ทั้งคู่เข้าแข่งในเทศกาลประกวดว่าว และสามารถเฉือนตัดว่าวสีน้ำเงินคู่แข่งสำคัญในรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ฮัสซานวิ่งออกไปเก็บว่าวสีน้ำเงินเป็นของขวัญมาให้เพื่อนและนายของเขา ฮ้สซันหายไปพักใหญ่อาเมียร์รู้สึกผิดสังเกตจึงเดินออกไปตามหาฮัสซาน ตามซอยเปลี่ยว... แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น และในเวลาต่อมา เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กทั้ง 2 ไปตลอดกาล...
เด็กคนหนึ่งจมอยู่ในความรู้สึกผิดบาป กับการทรยศการหักหลังเพื่อนอันเป็นตราบาปที่ติดตรึงอยู่ในใจไปชั่วชีวิต
ต่อมา เมื่อกองทัพรัสเซียได้เข้ามายึดอำนาจการปกครองจากระบอบกษัตริย์ของอัฟกานิสถาน บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย พ่อและอาเมียร์ต้องอพยพออกจากประเทศหนีไปอย่างฉุกละหุก 
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกามา 20 ปีกว่า อาเมียร์เดินทางกลับไปยังอัฟกานิสถานที่เต็มไปด้วยอันตราย ภายใต้การปกครองด้วยกฎเหล็กของกลุ่มตาลิบัน สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ไม่ใช่การกลับไปไถ่บาปกับเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เป็นการกล้าที่จะเผชิญกับอดีตของตัวเขาเองที่เคยกลบฝังมันเอาไว้ กล้าที่จะยกโทษให้ความผิดบาปทั้งหลายที่ตัวเองและใครๆเคยก่อ และกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อคนอื่นอย่างที่พ่อเขาเคยคาดหวังให้เขาเป็นมาตลอด 

อาเมียร์กำลังวิ่งกลับไป .. เพื่อเก็บว่าวสีนำ้เงินตัวนั้นในแผ่นดินเกิดของเขา….


The Kite Runner ไม่ได้เล่าเรื่องย้อนอดีตแบบ "วัยเด็กอันแสนสดใสงดงาม" แต่กลับเป็น อดีต ที่เต็มไปด้วยความรันทด ความเจ็บปวด ความรู้สึกละอายต่อบาป ที่ตามหลอกหลอน และความผิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กทั้ง 2 อย่างไม่มีวันย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก 

“เราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบของมันได้” .... เหตุการณ์ในอดีตเป็นสิ่งที่เกิดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เราย่อมย้อนเวลาไปแก้ไขมันไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบของมันได้ เราสามารถทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง รู้สึกผิดน้อยลง โกรธน้อยลง กลัวน้อยลง แต่มีพลังชีวิตมากขึ้น รักตัวเองมากขึ้นได้ หากเพียงแต่เราเข้าใจ ยอมรับและสามารถจัดการกับใจของเราเอง การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นไปได้เสมอ


“We cannot change past events; we can only change the impact that the past events have had on us” 




.......................................................................................................................
The Kite Runner is a 2007 drama film directed by Marc Forster (Monster's Ball,Finding Neverland) based on the novel of the same name by Khaled Hosseini.... It tells the story of Amir, a well-to-do boy from the Wazir Akbar Khan district of Kabul, who is tormented by the guilt of abandoning his friend Hassan, the son of his father's Hazara servant. The story is set against a backdrop of tumultuous events, from the fall of the monarchy in Afghanistan through theSoviet invasion, the mass exodus of Afghan refugees to Pakistan and the United States, and the Taliban regime.


Though most of the film is set in Afghanistan, these parts were mostly shot in KashgarChina, due to the dangers of filming in Afghanistan at the time. the majority of the film's dialogue is in Dari, with the remainder spoken in English. The child actors are native speakers, but several adult actors had to learn Dari. Filming wrapped up on December 21, 2006, and the film was expected to be released on November 2, 2007. However, after concern for the safety of the young actors in the film due to fears of violent reprisals to the sexual nature of some scenes in which they appear, its release date was pushed back six weeks to December 14, 2007.
The film was nominated for the Golden Globe Award for Best Foreign Language Film in 2007. The film's score by Alberto Iglesias was nominated for Best Original Score at the Golden Globes and the Academy Awards

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมติดต่อทางหลังไมค์ไม่ได้ครับ
    อีเมลล์ ผมครับ

    hairjintae@gmail.com

    ตอบลบ