วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

TAKING WOODSTOCK อิสระภาพของดอกไม้




ปี 1969 .. ปี่ที่ดอกไม้ในหัวใจผู้คนเบ่งบาน
Elliot Teichber [Demetri Martin] นักออกแบบภายในจากกรีนวิช วิลเลจ ในนิวยอร์ก ลูกชายของครอบครัวชาวยิวที่มีโรงแรมบ้านนอกเก่าๆ เล็กๆ ร้างๆ "The El Monaco" ในเมือง Catskills ที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนเขาต้องทิ้งโอกาสและความก้าวหน้าจากงาน ในเมืองใหญ่ มาช่วยพยุงโรงแรม ของครอบครัวไม่ให้ถูกธนาคารยึด

วันหนึ่ง Elliot ได้เห็นข่าวว่าเมืองข้างๆ อย่าง Wallkill ยกเลิกสัญญาในการให้จัดมหกรรมดนตรีกลางแจ้งทั้งที่ทีมงานได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว Elliot จึงเห็นว่าได้โอกาสที่จะหารายได้จากมหกรรมดนตรีกลางแจ้งนี้ Elliot จึงโทรศัพท์ติดต่อหา Micheal Lang ที่ Woodstock Ventures เพื่อเสนอโรงแรมของครอบครัวเป็นที่พักของทีมงานและให้ใช้ที่ดินผืนใหญ่หลังโรงแรมของเขาเป็นสถานที่จัดงานดนตรี Elliot เองในฐานะประธานหอการค้าของเมืองยังคิดว่านี่จะเป็นโอกาสช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ที่กำลังซบเซาในเมืองเล็กๆนี้ให้ฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย


แต่มันเป็นเรื่องตลกร้ายเหลือเกินเมื่อ ทุ่งหญ้าหลังโรงแรม (ที่เขาเข้าใจเอาเอง)ดันกลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นหญ้าปกคลุมไว้จนทีมงาน Woodstock Ventures คิดถอนตัว Elliot จึงหาทางออกใหม่ด้วยการพาทีมงานไปรู้จักกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มโคนมขนาดใหญ่หลายร้อยเอเคอร์ใน White Lake เลยถนนที่ผ่านหน้าโรงแรมเขาไปไม่ไกลนัก ชายคนนั้นชื่อว่า MAX YASGUR หลังจากนั้นเหล่าทีมงานก็เหมาโรงแรมของเขาเป็นที่พักและขนย้ายอุปกรณ์สร้างเวทีกลางแจ้ง สำหรับงานมหกรรมดนตรีและสันติภาพในเมือง White Lake 3 วัน 3 คืน โดยที่เขาไม่รู้และคาดคิดมาก่อนว่า งานเทศกาลครั้งนั้นกลายเป็นสัญญลักษณ์สำคัญของคนร่วมรุ่น ประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้นของเขา และวัฒนธรรมอเมริกันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ในสังคมเล็กๆเช่นครอบครัวของ Elliot นั้น Woodstock กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ครอบครัวของ Elliot ยังคงรักษาโรงแรมเก่าๆไว้ได้ไม่ถูกธนาคารยึดกิจการไป และสมาชิกในครอบครัวของเขาได้ค้นพบความเป็นตัวตนของแต่ละคนกันมากขึ้น 
แต่สำหรับ อเมริกัน ชน Woodstock กลายเป็นการเปิดประวัติศาสตร์เพลงร็อคหน้าใหม่ในอเมริกาอย่างยิ่งใหญ่ จนทำให้มีการจัดคอนเสิร์ตนี้เป็นประจำต่อเนื่องทุกปี กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมป๊อปที่ยิ่งใหญ่ด้วยเสรีภาพและอิสระทางด้านดนตรี.. อิสระของการแสดงออก  "อิสระเสรีทางความรัก" ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้ Elliot ตัดสินใจเลือกทางเดินครั้งสำคัญในชีวิตอีกด้วย


Ang Lee เล่าเรื่องโดยมุ่งเน้นไปที่การดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัว Elliot และภาพที่แสนวุ่นวายอลหม่านของผู้คนที่เดินทางเข้ามาดูดนตรี กับการเปิดเผยความเป็นโฮโมฯของ Elliot ดังนั้นหากคุณอยากชมเพื่อรับรู้ถึงประวัติศาสตร์การกำเนิดมหกรรมงานดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ที่จะถ่ายทอดให้เห็นภาพการแสดงและภาพของความรู้สึกของผู้คนติดขอบเวทีนั้นคงจะต้องผิดหวัง

เพราะภาพผู้คนนับแสนและเวทีกลายเป็นจุดเล็กๆ เป็นเพียงฉากหลังอย่างหนึ่งเท่านั้น น่าจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับและมือเขียนบทที่ต้องการให้ออกมาเป็นแบบนี้ และต้องการให้ต่างจากหนัง Woodstock (1970) ด้วยคำว่า Taking Woodstock ตัวหนังจึงออกมาดูสบายๆเป็น Happy Ending ที่เล่าถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องการทำสิ่งตนเองหวังให้สำเร็จ พร้อมกับบอกเล่า ความศรัทธา ความรู้สึก จิตวิญญาณ ของผู้คนที่มาด้วยใจเพื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ แถมไม่วายที่จะเสียดสีบ้างเล็กน้อย กับมหกรรมสร้างสงครามในช่วงเวลานั้นของอเมริกาทั้ง สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนามที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับ มหกรรมดนตรีพอดิบดี


Demetri Martin เล่นได้ดีและเป็นเกย์ที่น่ารักมาก รวมทั้งตัวละครอีกหลายคนเช่น Henry Goodman กับ Imelda Staunton ในบทพ่อแม่ ของ Elliot ที่ เล่นได้ดีและช่วยสร้างสีสันให้กับหนัง
Emile Hirsch (into the wild) มาเล่นบทรับเชิญเป็นทหารผ่านศึกเพี้ยนๆ เพื่อนของ Elliot



วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

SLEEPERS มิตรภาพที่ข้นกว่าเลือด

 
 "Shakes", Michael Sullivan, John Reilly และ Tommy Marcano เด็กชายเพื่อนตาย 4 คน ซึ่งอาศัยอยู่ใน ย่าน Hell's Kitchen, New York เด็กทั้ง 4 ไม่ได้มีครอบครัวที่รำ่รวยและอบอุ่นนัก พวกเขาเติบโตขึ้น ท่ามกลางคำสอนของบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกัน 2 ขั้ว คือ หลวงพ่อ Bobby (Robert De Niro) พระประจำท้องถิ่น และ KIng Benny (Vittorio Gassman) มาเฟียในย่านนั้น


เด็กทั้ง 4 คนได้รับ คำสอนและทัศนคติที่ทั้งดีและแปลกประหลาด รวมทั้งหารายได้พิเศษจากคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ไปพร้อมๆกัน โชคดีที่ทั้งพระและมาเฟีย ล้วนมีความรักอย่างจริงใจให้กับเด็กกลุ่มนี้
ฤดูร้อนของปี 1967 ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เด็กชาย 4 คนกับอารมณ์คึกคะนองและการตัดสินใจที่ผิดพลาด พวกเขาขโมย hotdog จากรถเข็นขาย hotdog ริมถนน เหตุการณ์สิ้นสุดลงด้วยการที่ชายคนหนึ่งต้องบาดเจ็บสาหัสปางตาย  จากการที่ รถเข็นขาย hotdog พุ่งลงมาทับร่างของเขา
เด็กทั้ง 4 ถูกตัดสินให้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนเยาวชน Wilkinson ….สถานที่ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล


ที่ โรงเรียน wilkinson พวกเขาต้องเผชิญกับความโหดร้าย ของ Sean Nokes ผู้คุมวิปริตกับพวกอีก 3 คน ซึ่งทำทุกอย่างทั้งทำร้ายร่างกาย และล่วงละเมิดทางเพศ กับเด็กผู้ชายในโรงเรียน แน่นอน ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ รวมทั้งเด็กชาย 4 คนจาก Hell's Kitchen เช่นกัน...

14 ปี ต่อมา John Reilly กับ Tommy Marcano กลายเป็นสมาชิกของแก็งค์ มาเฟีย ทั้ง 2 พบกับ Sean Nokes ชายผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเขา ที่ร้านอาหาร Hell Kitchen ถิ่นของพวกเขาเอง ด้วยความแค้นที่ถูกฝังอยู่ในใจของทั้งคู่ John และ Tommy ไม่รีรอที่จะชำระหนี้แค้นนี้ซะ พวกเขาค่อยๆฝังกระสุนทีละนัด ทีละนัด จน Sean Nokes ตายคาที่ ณ ร้านอาหารแห่งนั้น

ทั้งสองถูกนำตัวขึ้นศาลข้อหาฆาตกรรม ซึ่งการขึ้นศาลครั้งนี้เองได้เปิดโอกาสให้ Shakes และ Michael ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และร่วมมือกันลบล้างอดีตอันแสนปวดร้าวที่ยากจะลืม…



ตัวละครเพื่อนทั้งสี่คนต่างมี Character ที่แตกต่างกัน อย่างเช่น Michael มักเป็นหัวโจกของกลุ่ม ที่หลังออกจากโรงเรียนเยาวชนเขาไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะ "เอาคืน" ผู้คมทั้งสี่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีแล้วก็ตาม แตกต่างจาก Shakes ที่ดูเหมือนจะทำใจกับเหตุการณ์ฝันร้าย ณ โรงเรียนแห่งนั้น และพยายามที่จะ "ลืม" มันไปซะ ส่วน John และ Tommy กลายเป็นคนมุทะลุ ไม่ยอมใคร และทำงานให้กับแกงค์มาเฟียอย่างเต็มตัว ทั้งๆที่พวกเขาอาจจะเป็นพระ หรือศิลปินวาดรูปตามที่เคยใฝ่ฝันไว้เมื่อตอนเป็นเด็กก็ตามที

Sleepers ถ่ายทอด ผ่านสายตาของ Shakes (Lorenzo Carcaterra) หนึ่งใน 4 ตัวละครหลัก ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ โดยเขากล่าวว่า เรื่องรางราวเหล่านี้อิงจากชีวิตจริงของเขา
… Barri Levinson ( Rain Man) เล่าเรื่อง style เนิบนาบ แต่ ทรงพลัง ร่วมกับ casting  ที่ยอดเยี่ยม การถ่ายภาพที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตของ ผู้คนในย่าน hell kitchen ได้อย่างสวยงาม

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

BASHING คนดีที่ไร้แผ่นดิน


ยูโกะ  หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ที่เป็นอาสาสมัครไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับผลจากสงครามที่อิรัก แต่แล้วเธอกลับถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายจับเป็นตัวประกันในระหว่างปฏิบัติหน้าที่

     ครอบครัวและเพื่อนร่วมชาติเตรียมอกเตรียมใจไว้แล้วว่า หญิงสาวคงจะถูกฆ่าตายเหมือนตัวประกันหลายต่อหลายรายที่เคยตกเป็นข่าว    ...แต่ก็เปล่า
6 เดือนหลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น ยูโกะ รอดชีวิตและถูกส่งตัวกลับบ้านเกิด ก่อนกลับบ้าน ยูโกะคงจะคาดหวังอะไรไว้หลายอย่าง เธอคงรู้สึกขอบคุณพระเจ้าหรือใครก็ตามที่อนุญาตให้เธอยังมีชีวิตอยู่ และเธอคงจะฝันถึงอนาคตงดงามที่รอคอยเธออยู่ที่บ้านเกิด

     อย่างไรก็ตาม เพียงไม่นานหลังกลับถึงบ้าน หญิงสาวก็ตระหนักว่า สิ่งที่เคยคาดเคยฝันไว้นั้นผิดทั้งหมด ที่ญี่ปุ่นแผ่นดินเกิดของเธอเอง แทบไม่มีใครสักคนแสดงความยินดีที่ยูโกะยังมีชีวิตอยู่  ตรงกันข้าม ใครต่อใครเห็นตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางนั้น ยูโกะ แส่หาเรื่องเอง เธอไม่สมควรไปที่นั่นแต่แรก เพราะรัฐบาลก็ประกาศเตือนอยู่แล้ว และการที่ยูโกะรอดตายก็ได้สร้างความอับอายแก่ประเทศชาติ ทุกคนลงความเห็นว่ายูโกะทำให้ประเทศชาติต้องด่างพร้อย และยังพลอยทำให้เพื่อนร่วมชาติต้องขายขี้หน้าคนชาติอื่นไปด้วย


เลวร้ายกว่านั้น ยูโกะถูกก่นด่าประณาม ถูกโทรศัพท์ลึกลับก่อกวนรังควาญ มีเพียงบิดาของเธอที่เข้าใจและสนับสนุนเธอ แต่คน 2 คนไม่สามารถสู้เสียงคนหมู่มากในชุมชนได้ และ วันหนึ่งเจ้านายก็เรียกเธอไปคุย และให้เธอออกจากงาน เหตุผลคือ ตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่บรรยากาศในที่ทำงานก็เปลี่ยนไป ทุกคนไม่พอใจที่มีเธออยู่... คนรักของเธอบอกเลิก.. พลังแห่งความกดดันจากชุมชนนั้นรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า มันไม่ใช่เรื่องตัวบุคคลแต่กลายเป็นเรื่องสถาบันครอบครัว
ท้ายที่สุด บิดาของยูโกะต้องจากไปอย่างสิ้นหวัง แต่ผลจากความตายนั้นกลับถูกคนในชุมชนใช้เป็นเครื่องมือ พวกเขาสร้างวาทกรรมในการโจมตียูโกะว่า ถ้าเธอไม่หาเรื่องไปเป็นอาสาสมัครในอิรัก พ่อเธอก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงอย่างอดสูด้วยสิ่งที่ลูกสาวก่อเอาไว้




นี่เป็นเรื่องราวที่น่าสะทกสะท้อน ในการตั้งคำถามถึงจริยธรรมของสังคม ที่กระทำต่อคนที่ไม่มีทางต่อสู้ นอกจากนั้นยังได้เปิดเผยถึงด้านมืดของจิตใจมนุษย์ ความเน่าเฟะนั้นหาใช่เกิดจากพฤติกรรมเท่านั้นแต่มันได้สะท้อนทัศนคติที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของคนมากกว่า


Bashing เป็นหนังญี่ปุ่นเรื่องเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในสายประกวดที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประจำปี 2005 และเป็นหนังเรื่องที่ 4 ของโคบายาชิ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นวัย 52 ปี ที่ได้รับเชิญให้ร่วมฉายที่เทศกาลหนังที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


............................................................................................


Yuko volunteered to be an aid worker in Iraq and was taken hostage there. When freed she returned to Japan, but after being home six months she is still the ongoing object of harassment from her own countrymen. A co-worker finds many angry postings on the Internet denouncing her and spreads them very vocally, causing her boss let her go. He tells her that the atmosphere at the hotel where she works as a chambermaid has changed negatively as a result. Several anonymous phones are made daily to her at home where she lives with her father and stepmother, saying that she is an embarrassment and disgrace to Japan. She is even harassed by strangers on the street after buying soup at a local convenience store, ruining her dinner. Her boyfriend dumps her, calling her actions as a volunteer in a foreign country selfish, that she should have stayed in Japan and only helped her own community. Yuko's father supported her decision to go to the Middle East, and he defends her actions after her return, but his company is also receiving threatening phone calls over his daughter's actions. At the loss of her father, she dreams of returning to the only place where she felt her life had meaning, where children greeted her warmly as she gave them Japanese treats. She realizes that staying in Japan might cause her to become as cold as those around her, simply to survive. 

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

THE KITE RUNNER มิตรภาพ การทรยศ ความผิดบาป


"There is a way to be good again"
THE KITE RUNNER ถ่ายทอดเรื่องราว วัฒนธรรม และ ความรันทดของผู้คนในแผ่นดินที่ระอุด้วยไฟสงคราม ฉากหน้าของสงครามโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน และการเถลิงอำนาจของกลุ่มตาลีบัน ยังมีเรื่องราวของมิตรภาพ การทรยศหักหลัง ความผิดบาป และความสัตย์ซื่อของเด็กชาย 2 คน แห่งคาบูล 
อันตอกยำ้ด้านมืดของจิตใจมนุษย์

ยี่สิบหกปีที่แล้วที่ยังไม่มีคำว่ารัสเซียหรือตาลีบันให้รู้จัก ไม่มีเสียงปืนและเด็กไร้บ้านในยามค่ำคืน เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสดใส ยังเต็มไปด้วยว่าวหลากสีล่องลอยอยู่กลางกระแสลม ดอกไม้ยังบานสะพรั่งตามท้องถนนของกรุงคาบูล เด็กๆยังวิ่งเล่นในฤดูร้อนบนสนามหญ้าและนั่งเล่นการ์ดข้างเตาผิงยามหิมะตก และครั้งหนึ่งในโมงยามเหล่านั้น บนเนินเขา มีเด็กน้อยชื่ออาเมียร์กับฮัซซันนั่งเคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่ อ่านหนังสือและเล่านิทาน พร้อมกับแทะผลทับทิมไปด้วยกัน

Amir and Hassan . The Sultans of Kabul’



อาเมี่ยร์และฮัสซัน คือ เด็กชายใน คาบูล ที่เติบโตขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกัน ดื่มนมจากแม่นมคนเดียวกัน
แต่ถึงแม้จะอยู่ในอาณาเขตบ้านเดียวกัน แต่ชีวิตของพวกเขาอยู่คนละโลก อาเมียร์เป็นบุตรเจ้าบ้านผู้รำ่รวย แต่ฮ้สซันเป็นบตรของคนใช้ชาวซาฮารา ซี่งน่าเยาะหยันทั้งหน้าตาและชาติกำเนิด  แต่ความอัปลักษณ์นั้นไมาสามารถสดคุณค่า ความเป็นเพื่อน ความซื่อสัตย์และความเป็นบ่าวที่จงรักภักดีที่เขามีต่อ อาเมียร์ได้  อาเมียร์นั้นเป็นเด็กขี้ขลาด ฮัสซันที่อยู่ในฐานะลูกคนใช้ในบ้าน กลับเป็นคนที่กล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และคอยปกป้องช่วยเหลืออาเมียร์ เขาจงรักภักดีต่ออาเมียร์เป็นอย่างมาก ... เวลาที่ทั้งสองไปเล่นว่าว และมีว่าวสายขาดปลิวไปตก ฮัสซันจะเป็นคนวิ่งไปเก็บมาให้ เขาบอกกับอาเมียร์อยู่เสมอว่า 
“ถ้าคุณต้องการ จะให้วิ่งสักพันรอบ ผมก็จะทำ”


บ่ายวันท้องฟ้าสดใสในเมืองคาบูล ทั้งคู่เข้าแข่งในเทศกาลประกวดว่าว และสามารถเฉือนตัดว่าวสีน้ำเงินคู่แข่งสำคัญในรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ฮัสซานวิ่งออกไปเก็บว่าวสีน้ำเงินเป็นของขวัญมาให้เพื่อนและนายของเขา ฮ้สซันหายไปพักใหญ่อาเมียร์รู้สึกผิดสังเกตจึงเดินออกไปตามหาฮัสซาน ตามซอยเปลี่ยว... แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น และในเวลาต่อมา เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กทั้ง 2 ไปตลอดกาล...
เด็กคนหนึ่งจมอยู่ในความรู้สึกผิดบาป กับการทรยศการหักหลังเพื่อนอันเป็นตราบาปที่ติดตรึงอยู่ในใจไปชั่วชีวิต
ต่อมา เมื่อกองทัพรัสเซียได้เข้ามายึดอำนาจการปกครองจากระบอบกษัตริย์ของอัฟกานิสถาน บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย พ่อและอาเมียร์ต้องอพยพออกจากประเทศหนีไปอย่างฉุกละหุก 
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกามา 20 ปีกว่า อาเมียร์เดินทางกลับไปยังอัฟกานิสถานที่เต็มไปด้วยอันตราย ภายใต้การปกครองด้วยกฎเหล็กของกลุ่มตาลิบัน สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ไม่ใช่การกลับไปไถ่บาปกับเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เป็นการกล้าที่จะเผชิญกับอดีตของตัวเขาเองที่เคยกลบฝังมันเอาไว้ กล้าที่จะยกโทษให้ความผิดบาปทั้งหลายที่ตัวเองและใครๆเคยก่อ และกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อคนอื่นอย่างที่พ่อเขาเคยคาดหวังให้เขาเป็นมาตลอด 

อาเมียร์กำลังวิ่งกลับไป .. เพื่อเก็บว่าวสีนำ้เงินตัวนั้นในแผ่นดินเกิดของเขา….


The Kite Runner ไม่ได้เล่าเรื่องย้อนอดีตแบบ "วัยเด็กอันแสนสดใสงดงาม" แต่กลับเป็น อดีต ที่เต็มไปด้วยความรันทด ความเจ็บปวด ความรู้สึกละอายต่อบาป ที่ตามหลอกหลอน และความผิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กทั้ง 2 อย่างไม่มีวันย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก 

“เราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบของมันได้” .... เหตุการณ์ในอดีตเป็นสิ่งที่เกิดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เราย่อมย้อนเวลาไปแก้ไขมันไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบของมันได้ เราสามารถทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง รู้สึกผิดน้อยลง โกรธน้อยลง กลัวน้อยลง แต่มีพลังชีวิตมากขึ้น รักตัวเองมากขึ้นได้ หากเพียงแต่เราเข้าใจ ยอมรับและสามารถจัดการกับใจของเราเอง การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นไปได้เสมอ


“We cannot change past events; we can only change the impact that the past events have had on us” 




.......................................................................................................................
The Kite Runner is a 2007 drama film directed by Marc Forster (Monster's Ball,Finding Neverland) based on the novel of the same name by Khaled Hosseini.... It tells the story of Amir, a well-to-do boy from the Wazir Akbar Khan district of Kabul, who is tormented by the guilt of abandoning his friend Hassan, the son of his father's Hazara servant. The story is set against a backdrop of tumultuous events, from the fall of the monarchy in Afghanistan through theSoviet invasion, the mass exodus of Afghan refugees to Pakistan and the United States, and the Taliban regime.


Though most of the film is set in Afghanistan, these parts were mostly shot in KashgarChina, due to the dangers of filming in Afghanistan at the time. the majority of the film's dialogue is in Dari, with the remainder spoken in English. The child actors are native speakers, but several adult actors had to learn Dari. Filming wrapped up on December 21, 2006, and the film was expected to be released on November 2, 2007. However, after concern for the safety of the young actors in the film due to fears of violent reprisals to the sexual nature of some scenes in which they appear, its release date was pushed back six weeks to December 14, 2007.
The film was nominated for the Golden Globe Award for Best Foreign Language Film in 2007. The film's score by Alberto Iglesias was nominated for Best Original Score at the Golden Globes and the Academy Awards

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

THE LIVES OF OTHERS ชีวิตเป็นของใคร ?



The Lives of Others เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเยอรมันตะวันออก 5 ปี ก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตกหลอมรวมเป็นชาติเดียวกัน ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นทางฝั่งตะวันออกนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนโดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพซึ่งถือครองโดยรัฐ และถูกกำกับโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล ที่คอบสอดส่องดูแลและเฝ้าระวังการกระทำอันเป็นภัยต่อระบอบสังคมนิยมในขณะนั้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยหูตานับล้านคู่ที่คอยจับจ้องพฤติกรรม การแสดงออก หรือแม้แต่การสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีใครจะรอดพ้นไปจากสายตาเจ้าหน้าที่ของหน่วยสตาซี่ได้ หากตรวจสอบแล้วพบว่าบุคคลผู้นั้นมีความน่าจะเป็นในการบ่อนทำลายรัฐ ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ดักฟังตลอด 24 ชั่วโมง



   เจ้าหน้าที่วีลเลอร์ ผู้ชำนาญการดักฟังและการสอบสวนชนิดหาตัวจับยาก ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ดักฟังชายหนุ่มนักเขียนคนหนึ่งชื่อ เกิร์ก ดรายมัน ผู้กำลังซ่องสุมเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับๆ เกิร์กมีคนรักคือคริสต้า มาเรีย ซีลัน ซึ่งเป็นนักแสดงมากพรสวรรค์และความสามารถในขณะนั้น ทั้ง 2 อาศัยอยู่ด้วยกัน วีลเลอร์ดักฟังทุกถ้อยสนทนาในชีวิตของคนทั้งคู่เพื่อสกัดข่าวสารอันส่งสัญญาณถึงฐานความผิดต่อรัฐ เพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชา และแน่นอนภาพชีวิตหลากหลายของทั้งเกิร์กและคริสต้า รวมทั้งเพื่อนๆ ผู้คบหาสมาคมกับพวกเขา นอกจากจะไม่รอดพ้นจากการเฝ้าสังเกตของวีลเลอร์แล้วตัวเขาเองยังได้ซึบซาบความเป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนในฐานะศิลปิน และความเป็นมนุษย์ในฐานะพลเมืองเข้ามาไว้กับตัว ราวกับการเป็น "ผู้ชม" ที่เฝ้าดูละครชีวิตที่โลดแล่นอยู่ตรงหน้า

วีลเลอร์จากเมื่อแรกเห็นเขาเป็นเจ้าหน้าที่เถรตรง ไม่วอกแวก ปลอดอารมณ์ความรู้สึก มาถึงตอนนี้ความเป็นมนุษย์ในตัวเขากลับเริ่มมีมากขึ้น เขาดักฟังคนทั้งคู่ประหนึ่งผู้ชมที่รอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และไม่นานสถานภาพ "ผู้ชม" ที่เขามีกลับขยับขึ้นเป็น "ผู้กำกับ" เมื่อวีลเลอร์แอบรู้เห็นเป็นใจช่วยเหลือคนทั้งคู่อย่างลับๆ ให้รอดพ้นจากสายตาผู้บังคับบัญชา เขาปกปิดข้อมูลที่ควรจะแจ้ง ยักย้ายหลักฐานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเขาตรวจไม่พบ



ท่ามกลางความเป็นความตายของคนทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายศิลปินและฝ่ายรัฐบาล วีลเลอร์กลายเป็นตัวกลางที่มองเห็นทั้งความฉ้อฉลและความทุกข์ขมขื่นอันปนเป มองเห็นละครชีวิตของทั้งสองฝ่าย และสุดท้ายเขาก็เลือกเอาใจช่วยเหลือฝ่ายหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าตนจะต้องรับผลแห่งการกระทำอย่างทุกข์ทรมานมากเพียงใด

การเข้ามาดักฟังซึ่งพัฒนาไปสู่การเขียนชะตาชีวิตใหม่ให้กับคู่รักอย่างคริสต้าและเกิร์กของวีลเลอร์ ไม่เพียงยกสถานะให้เขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ชีวิตคนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นแรงดลใจให้กับเกิร์กศิลปินผู้สร้างงานซึ่งต่อมาได้รับรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีิวิตของตนเอง

THE LIVES OF OTHERS คือหนังที่พูดถึงมิตรภาพและการส่องทางให้แก่กันและกัน แต่มิตรภาพนั้นเกิดขึ้นจากคนต่างฝ่ายในฐานะที่เป็นศัตรูกันด้วยซ้ำ และแรงดลใจนั้นก็ไม่ได้เกิดจากมิตรใกล้ตัวหากแต่เป็นกัลยาณมิตรที่ไม่เคยพบหน้า เป็นดั่งแสงส่องทางให้แก่กันและกัน มากไปกว่านั้นหนังพยายามตั้งคำถามเชิงปรัชญาด้วยซำ้ไปว่า หากไม่มีสีดำเราก็ไม่รู้ว่าสีขาวเป็นเช่นไร และที่จริงแล้วทุกงานศิลปะที่ล้ำเลิศของศิลปินล้วนได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแสนสาหัสทั้งนั้น ก่อนที่จะรู้จักคำว่าสร้างสรรค์

THE LIVES OF OTHERS หรือ ชื่อในภาษาเยอรมัน LA VIDA DE LOS OTROS เอาชนะรางวัล
หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม Academy Award ในปี 2007


....................................................................................


East Berlin, November 1984. Five years before its downfall, the former East-German government ensured its claim to power with a ruthless system of control and surveillance. Party-loyalist Captain Gerd Wiesler hopes to boost his career when given the job of collecting evidence against the playwright Georg Dreyman and his girlfriend, the celebrated theater actress Christa-Maria Sieland. After all, the "operation" is backed by the highest political circles. What he didn't anticipate, however, was that submerging oneself into the world of the target also changes the surveillance agent. The immersion in the lives of others--in love, literature, free thinking and speech--makes Wiesler acutely aware of the meagerness of his own existence and opens to him a completely new way of life which he has ever more trouble resisting. But the system, once started, cannot be stopped. A dangerous game has begun. 





วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

THE LITTLE TRAITOR มิตรภาพต่างสายพันธ์ุ



“My enemy was much more friend of mine, than my friends”


The Little Traitor หนัง coming of age จาก Israel ซึ่งสร้างจากหนังสืิอเรื่อง Panther in the Basement
เหตุการณ์ในภาพยนตร์ ย้อนไปในปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงหนี่งปีก่อนที่ Israel จะประกาศอิสรภาพ

หนังโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่าง ทหารชาวอังกฤษ (Alfred Molina) กับเด็กชายชาวยิว(Ido Port) ในเริ่มแรกความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นไม่ดีสักเท่าไหร่ เนื่องจากขณะนั้นชาวยิวส่วนมากคิดว่ากองทัพอังกฤษเป็นผู้รุกรานและเข้าครอบครองแผ่นดินของพวกเขา กองทัพอังกฤษก็สงสัยว่าชาวยิวเป็นผู้ก่อการร้าย วันหนึ่งเด็กชายชาวยิว Proffy Liebowitz เกิดกลับบ้านไม่ทันเวลาเคอร์ฟิวที่อังกฤษประกาศใช้จนถูกทหารอังกฤษจับตัว แต่โชคดีที่ทหารคนนั้นคือ จ่า Dunlop ที่ไม่เพียงไม่ลงโทษแต่กลับพาเขาไปส่งถึงบ้านอย่างดี แม้ตอนแรก Proffy จะไม่ถูกชะตากับจ่าผู้นี้เพราะเห็นว่าเป็นทหารอังกฤษ เป็นผู้บุกรุกบ้านเกิดของเขา แต่ด้วยความที่จ่า Dunlop ปฏิบัติต่อเด็กน้อยด้วยความเสมอภาค ไม่เหมือนภาพทหารอังกฤษที่แสนโหดร้ายอย่างในความคิดของเด็กชาย

ทำให้ทั้งคู่ได้เริ่มต้นสานสัมพันธ์ จากการสอนจ่าให้พูดภาษาฮิบรู การเล่นหมากรุก เล่นสนุ๊กเกอร์ ไปจนถึงการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่วัฒนธรรมของชาวยิว ความเชื่อในพระคัมภีร์ไปจนถึงวัฒนธรรมทางการเมืองของชาติตะวันตก และรวมไปถึงเรื่องของความรัก ที่ด้วยวัยของ Proffy กำลังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เขาเริ่มที่จะสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น และใฝ่หาใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและรับฟังสิ่งๆต่างๆจากเขาทดแทนพ่อแท้ๆของเขาที่มีบุคลิกเย็นชาและห่างเหิน แม้ไม่มีใครรู้แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนสนิทของ Proffy ได้แอบตามเขาไปจนพบและเข้าใจว่าเด็กชายกำลังคบหาอยู่กับ "ศัตรู" ของพวกเขา และประฌามเด็กน้อยว่าเป็นคนทรยศ 


เรื่องราวบานปลายถึงขนาดที่ Proffy ต้องถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในศาลของชาวยิว แม้เขาจะเป็นเพียงเด็กชายวัย 12 ปีคนหนึ่งก็ตาม 

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

KOKTEBEL ศรัทธาที่สูญสิ้น



Koktebel เล่าเรื่องของพ่อกับลูกชาย วัย 11 ขวบ ที่เดินทางร่อนเร่จาก Moscow สู่ Koktebel อันเป็นจุดหมายปลายทางซึ่งพี่สาวของพ่อได้อาศัยอยู่ Koktebel เป็นภาษาของชาวตาตาร์ซึ่งเป็นผืนแผนดินที่พำนักพักพิงของพวกเขาใน Krimea อยู่ติดกับทะเลดำ เมื่อชาวตาตาร์ถูกขับไล่หลังสงครามพื้นที่กว้างตรงนั้นก็กลายเป็นฐานอากาศยาน (บิดาของเขากล่าวว่า "ที่ตรงนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งสามารถปลิวร่อนไปได้ไกลหลายไมล์" ) การเดินทางครั้งนี้กินระยะเวลายาวนาน ทั้งการเดินเท้า โบกรถ ระหว่างนั้นพวกเขาก็รับจ้างทำงานตามสถานที่ต่างๆเพื่อแลกกับอาหารและที่พักในแต่ละวัน ตลอดการเดินทางนั้นเด็กชายมีบิดาคอยปกป้องคุ้มครองเป็นแบบอย่างในชีวิตและบอกเล่าเรื่องราวความฝันของจุดหมายปลายทาง เด็กชายได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตโดยตรงจากการทำงานกลางแจ้งและความรู้ต่างๆเกี่ยวกับโลกผ่านทางพ่อของเขา อีกทั้งเด็กชายยังมีสัมผัสพิเศษคือเขาสามารถมองเห็นตำแหน่งที่เขายืนอยู่ได้จากมุมมองเบื้องบน สิ่งนี้เชื่อมโยงเด็กชายเข้ากับจิตวิญญาณของนก Albatros เด็กชายนี้เติบโตมากับความฝันเช่นนี้โดยที่เขาหวังว่าวันที่ไปถึง Koktebel เขาจะได้พิสูจน์การโบยบินของตัวเองเหมือนนก Albatros



แต่การเดินทางนั้นยาวนานความฝันและศรัทธาในตัวบิดาเริ่มลดทอนลงเรื่อยๆจากสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของพ่อเขาเอง อย่างไรก็ตามเมื่อความศรัทธาในตัวบิดาสิ้นลง เด็กชายเดินทางโดยลำพังสู่ดินแดนในฝัน แต่แล้วจิตวิญญาณเสรีพร้อมโบยบินของเขาก็ถูกคว้านเป็นรูโหว่ เมื่อกระดาษแผ่นหนึ่งไม่สามารถร่อนไปได้ไกลจริงอย่างที่บิดาของเขากล่าวไว้ และป้า (พี่สาวของพ่อ) ก็ได้ย้ายไปอยู่ไซบีเรียแล้ว

จุดหมายที่เหมือนจะไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดบวกกับความฝันที่ถูกทำลายทำให้บางสิ่งบางอย่างในตัวเด็กชายสูญหายไป และไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีก ภาวะสูญสิ้นดังกล่าวนำพาสู่การทำลายล้างความฝันด้วยมือของตัวเด็กชายเอง อันเป็นฉากตอนท้ายที่ทรงพลังและทดท้อใจอย่างมาก



Koktebel เป็นหนังที่สงบนิ่งแต่ทรงพลังตามแบบฉบับหนังรัสเซีย ความสัมพันธ์ของบิดาและบุตรคู่นี้สร้างความสะทกสะท้อนถึงจิตวิญญาณที่สูญหายทั้งในฐานะตัวบุคคลและสังคมโดยรวม หนังเล่าเรื่องด้วยเรื่องราวอันน้อยนิดแต่คิดความมหาศาลมาพร้อมกับการแสดงอันยอดเยี่ยม เป็นหนังรัสเซียที่ควรค่าแก่การชม

Koktebel ชนะรางวัล Special Jury Prize จาก Moscow International Film Festival 2003 และ ชนะรางวัล Best Actor และ Grand Jury Prize จาก Cinemanila International Film Festival 2004

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

The Winner of Golden Globe Award 2011 & Oscar : Best Foreign Film nomination 2011


ประกาศออกมาแล้วกับรางวัล"ลูกโลกทองคำ" มีทั้งตัวเต็งและม้ามือคว้ารางวัลกันมากมาย เรามาดูกันว่ามีหนังเรื่องกันบ้างที่ได้รางวัลไป

Best Motion Picture - Drama
WINNER: The Social Network

Best Performance by an Actress in a Motion Picture - Drama
WINNER: Natalie Portman จาก "Black Swan"

Best Performance by an Actor in a Motion Picture - Drama
WINNER: Colin Firth จาก "The King's Speech"

Best Motion Picture - Comedy Or Musical
WINNER: Annette Bening จาก "The Kids Are All Right"

Best Performance by an Actor in a Motion Picture - Comedy or Musical
WINNER: WINNER: Paul Giamattiจาก "Barney's Version"

Best Performance by an Actress in a Supporting Role in a Motion Picture
WINNER: WINNER: Melissa Leo จาก "The Fighter"

Best Performance by an Actor in a Supporting Role in a Motion Picture
WINNER: Christian Bale จาก "The Fighter"

Best Director - Motion Picture
WINNER: David Fincher จาก "The Social Network"

Best Screenplay
WINNER: Aaron Sorkin, "The Social Network"

Best Mini-Series or Motion Picture Made for Television
Winner: "Carlos" (2010)

และอีก 1 สาขาที่น่าจับตามองคือ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ซึ่งผู้คว้ารางวัลนี้ไปครองคือเรื่อง "In a Better World," จาก Denmark
ที่เบียดเอาชนะหนังตัวเต็งอย่าง "Biutiful" จากสเปน และ "I Am Love," จาก Italy ไปได้


มาต่อกันที่การประกาศผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์กันบ้าง ที่งวดเข้ามาทุกที โดยปีนี้จะประกาศรางวัลวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้
จาก 66 เรื่อง คัดเหลือเพียง 9 เรื่อง ดังนี้
Algeria, “Hors la Loi” (“Outside the Law”), Rachid Bouchareb, director;
Canada, “Incendies,” Denis Villeneuve, director;
Denmark, “In a Better World,” Susanne Bier, director;
Greece, “Dogtooth,” Yorgos Lanthimos, director;
Japan, “Confessions,” Tetsuya Nakashima, director;
Mexico, “Biutiful,” Alejandro Gonzalez Inarritu, director;
South Africa, “Life, above All,” Oliver Schmitz, director;
Spain, “Tambien la Lluvia” (“Even the Rain”), Iciar Bollain, director;
Sweden, “Simple Simon,” Andreas Ohman, director.

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่หนังเรื่อง "ลุงบุญมีฯ" และ "Of Gods And Men" จากฝรั่งเศส ที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำและกรังปรีซ์ตามลำดับ ไม่ได้ผ่านเข้ารอบในครั้งนี้ด้วย

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

2 FILHOS DE FRANCISCO


จิตวิญญาณ ของ FRANCISCO

**** บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์


"They said he was a dreamer. 
They used to call my father crazy.
But we were the crazy ones. 
He was the one who was right..."

ความฝันของพ่อแม่ทุกคน คือการได้เห็นความสำเร็จของลูก เช่นเดียวกันกับ Francisco

FRANCISCO ชายที่ถูกกล่าวหาว่า "บ้า"เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวของลูกหลายคน นับแต่ลูกชายคนแรกถือกำเนิดมา เขาก็ตั้งความหวังว่า จะมีลูกชายเป็นนักร้องดูโอที่โด่งดัง  ชีวิตของครอบครัวนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ Mirosmar ลูกชายคนโต เดินขึ้นเวทีไปร้องเพลง แต่การขึ้นเวทีครั้งแรกของเด็กชายคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งอาการประหม่า และการไม่เคยฝึกซ้อมมาก่อน การร้องเพลงของเค้าเข้าขั้นย่ำแย่มาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กน้อย Mirosmar จะรู้สีกอับอายและผิดหวังมาก ไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ หากแต่ Francisco กลับให้รางวัลในความพยายามอย่างที่สัญญาไว้ตอนแรกเพื่อปลอบขวัญลูกของเขา และหลังจากนั้นไม่นาน "พ่อ" ก็ขนข้าวของมากมายแม้กระทั่งปืน 1 กระบอกที่เป็นมรดกจากพ่อของ Francisco เพื่อแลกกับแอคคอร์เดียนและกีตาร์ อย่างละ 1 ตัว มาให้ลูกชายทั้ง 2 คน โดยหวังว่าทั้งคู่จะกลายเป็นศิลปินดูโอที่มีชื่อเสียงสักวันนึง
 

ในขณะเดียวกัน Francisco หาใช่คนหาเช้ากินค่ำธรรมดา  แต่เขากลับมีความคิดก้าวหน้าที่จะเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กๆในละแวกใกล้บ้านรวมถึงลูกของเขาเอง เพื่อที่เด็กๆจะได้ไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนอีกแห่งซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน เด็กๆต่างมีความสุข  แต่คนรอบข้างหาว่าเขาบ้า โดยเฉพาะพ่อตาของเขาเอง
                จนกระทั่งชีวิตของทุกๆคนในบ้านต้องเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อ Francisco ติดเงินค่าเช่าพ่อตาเป็นเวลานาน หลังจากถูกยึดที่คืนไปทั้งบ้าน ไร่ข้าวโพด และโรงเรียนที่พึ่งเปิดได้ไม่นาน Francisco พาครอบครัวลาจากบ้านเกิดมาหางานทำใหม่เป็นคนทำงานก่อสร้าง ส่วนบ้านใหม่ของเค้าก็คือบ้านร้างที่สภาพดูจะพังมิพังแหล่ ทุกคนอยู่อย่างลำบากยากแค้น


                ในที่สุดสองพี่น้องก็หอบหิ้วเอาแอคคอร์เดียนและกีตาร์ออกร้องเพลงในสถานีขนส่งเพื่อแลกกับเงินจากคนแถวนั้น และแล้วก็เหมือนโชคเข้าข้างเมื่อชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นเอเยนต์พร้อมจะผลักดันให้เด็กทั้งสองโด่งดังไปทั่วประเทศได้ แม้แม่จะไม่เห็นด้วยแต่ผู้เป็นพ่อก็พร้อมที่จะเสี่ยง หลังเอเยนต์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะพาเด็กไปเพียงอาทิตย์เดียว แต่สุดท้ายกลับหายไปนานถึงสี่เดือน ไร้การติดต่อ ถึงขนาดที่ Francisco ออกตามหาก็ยังไม่เจอ ในระหว่างสี่เดือนนี้สองพี่น้อง Mirosmar และ Emival ต่างเก็บเกี่ยวประสบการณ์การร้องเพลงตามร้านอาหารเรื่อยมา แต่ตัวน้องชาย Emival ค่อนข้างคิดถึงบ้านและไม่อยากร้องเพลงแล้ว แตกต่างจากพี่ชายที่มีความสุขกับการร้องเพลงเล่นดนตรี เมื่อเอเยนต์พาทั้งสองกลับบ้าน Francisco และ ภรรยาย Helena ต่างไม่พอใจเอเยนต์คนนี้มาก จึงปฏิเสธการออกทัวร์อีกครั้ง แต่หลังจากผู้เป็นพ่อพยายามผลักดันลูกชายเองก็พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สุดท้าย Francisco จึงจำยอมให้เอเยนต์คนเดิมพาเด็กๆออกทัวร์อีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้จะนำมาซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะไม่นานรถที่เอเยนต์และเด็กทั้งสองนั่งมาก็เกิดอุบัติเหตุรถชน ทำให้ Emival น้องชายเสียชีวิตทันที ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Mirosmar เลิกเล่นแอคคอร์เดียนไประยะหนึ่ง


                หลายปีผ่านไปเด็กน้อย Mirosmar เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ก็ยังยึดการร้องเพลงเป็นอาชีพ โดยร่วมร้องกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง และเปลี่ยนชื่อตนเองเป็น Zeze ไม่นานชื่อของเขาก็เริ่มเป็นที่จดจำ แต่เพลงของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่เพียงระยะหนึ่ง
                ในวันที่ชีวิตเริ่มแย่ น้องชายอีกคน Welson ก็ก้าวเข้ามาทำวงดูโอคู่กับเขา  จนในที่สุดทั้งคู่ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ภายใต้ความกดดันจากเจ้าของค่ายที่ดูไม่มั่นใจในผลงานของทั้งคู่ ทำให้ Zeze พยายามอย่างหนักในการแต่งเพลง แต่จนแล้วจนรอดทางค่ายก็ไม่ยอมออกอัลบั้มขายสักที เมื่อทั้งคู่กลับบ้านพร้อมหยิบเพลง single แรกติดตัวมาด้วย ทุกคนต่างชื่นชมในความสำเร็จอีกก้าวของลูก แต่ทันทีที่ผู้เป็นพ่อรับรู้เรื่องราวว่าทางค่ายยังไม่พร้อมออกเทปให้ลูก เขาจึงเกิดไอเดียว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะพิสูจน์ให้ดูว่าคนในประเทศชอบเพลงของลูก เขาจึงเริ่มโดยการนำเทปเพลงไปฝากยังสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง และปลอมเสียงเข้าไปขอเพลงทุกวัน วันละหลายๆครั้ง และเริ่มชักชวนเพื่อนในที่ทำงานให้โทรไปขอเพลงบ้าง โดยเขานำเงินเดือนทั้งหมดไปแลกเป็นเศษเหรืยญแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนใช้หยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปขอเพลง และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นเมื่อเพลงของ Zeze และ Luciano (ชื่อใหม่ของ Welson) ติดอันดับเพลงยอดฮิตในที่สุด จนท้ายที่สุดอัลบั้มของทั้งคู่ทำยอดขายได้ถึง 20 ล้านตลับ !! แน่นอนความสำเร็จนี้ย่อมเกิดจากตัวผลงานที่มีคุณภาพ แต่ขณะเดียวกันหากขาดคนผลักดันเช่นพ่ออย่าง Francisco ในวันนี้อาจไม่มีคู่ดูโอที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดของบราซิลอย่าง Zeze และ Luciano ได้
                
ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ฟังบทเพลงเพราะๆสไตล์คันทรีของบราซิลหลากหลายเพลง ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของ Zeze และ Luciano โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของแต่ละเพลงจะสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเด็กของทั้งคู่

Breno Silveira ผู้กำกับเล่าเรื่องที่อิงจากกลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่จริงได้อย่างสวยงาม มีพลัง หนังมีบรรยากาศของความหวัง การให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา การถ่ายภาพภูมิประเทศที่สวยงาม ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอยู่ของชุมชนนั้นๆ

จิตวิญญาณที่ไม่เคยยอมแพ้ ถ่ายทอดผ่านการแสดงที่ทรงพลังของ Angelo  Antonio (Francisco)
รวมทั้ง Dira Paes ในบทแม่ (Helena), “Mirosmar” ในวัยเด็ก (Dáblio Moreira) และ “Emival” (Marcos Henrique) ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสี่คนจะกวาดรางวัลจากหลายหลากสถาบันมาครองได้

                หลังการออกฉายในประเทศบ้านเกิด 2 Filhos De  Francisco กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรอบ 25 ปีของบราซิล