วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

TAKING WOODSTOCK อิสระภาพของดอกไม้




ปี 1969 .. ปี่ที่ดอกไม้ในหัวใจผู้คนเบ่งบาน
Elliot Teichber [Demetri Martin] นักออกแบบภายในจากกรีนวิช วิลเลจ ในนิวยอร์ก ลูกชายของครอบครัวชาวยิวที่มีโรงแรมบ้านนอกเก่าๆ เล็กๆ ร้างๆ "The El Monaco" ในเมือง Catskills ที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนเขาต้องทิ้งโอกาสและความก้าวหน้าจากงาน ในเมืองใหญ่ มาช่วยพยุงโรงแรม ของครอบครัวไม่ให้ถูกธนาคารยึด

วันหนึ่ง Elliot ได้เห็นข่าวว่าเมืองข้างๆ อย่าง Wallkill ยกเลิกสัญญาในการให้จัดมหกรรมดนตรีกลางแจ้งทั้งที่ทีมงานได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว Elliot จึงเห็นว่าได้โอกาสที่จะหารายได้จากมหกรรมดนตรีกลางแจ้งนี้ Elliot จึงโทรศัพท์ติดต่อหา Micheal Lang ที่ Woodstock Ventures เพื่อเสนอโรงแรมของครอบครัวเป็นที่พักของทีมงานและให้ใช้ที่ดินผืนใหญ่หลังโรงแรมของเขาเป็นสถานที่จัดงานดนตรี Elliot เองในฐานะประธานหอการค้าของเมืองยังคิดว่านี่จะเป็นโอกาสช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ที่กำลังซบเซาในเมืองเล็กๆนี้ให้ฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย


แต่มันเป็นเรื่องตลกร้ายเหลือเกินเมื่อ ทุ่งหญ้าหลังโรงแรม (ที่เขาเข้าใจเอาเอง)ดันกลายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นหญ้าปกคลุมไว้จนทีมงาน Woodstock Ventures คิดถอนตัว Elliot จึงหาทางออกใหม่ด้วยการพาทีมงานไปรู้จักกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มโคนมขนาดใหญ่หลายร้อยเอเคอร์ใน White Lake เลยถนนที่ผ่านหน้าโรงแรมเขาไปไม่ไกลนัก ชายคนนั้นชื่อว่า MAX YASGUR หลังจากนั้นเหล่าทีมงานก็เหมาโรงแรมของเขาเป็นที่พักและขนย้ายอุปกรณ์สร้างเวทีกลางแจ้ง สำหรับงานมหกรรมดนตรีและสันติภาพในเมือง White Lake 3 วัน 3 คืน โดยที่เขาไม่รู้และคาดคิดมาก่อนว่า งานเทศกาลครั้งนั้นกลายเป็นสัญญลักษณ์สำคัญของคนร่วมรุ่น ประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้นของเขา และวัฒนธรรมอเมริกันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ในสังคมเล็กๆเช่นครอบครัวของ Elliot นั้น Woodstock กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ครอบครัวของ Elliot ยังคงรักษาโรงแรมเก่าๆไว้ได้ไม่ถูกธนาคารยึดกิจการไป และสมาชิกในครอบครัวของเขาได้ค้นพบความเป็นตัวตนของแต่ละคนกันมากขึ้น 
แต่สำหรับ อเมริกัน ชน Woodstock กลายเป็นการเปิดประวัติศาสตร์เพลงร็อคหน้าใหม่ในอเมริกาอย่างยิ่งใหญ่ จนทำให้มีการจัดคอนเสิร์ตนี้เป็นประจำต่อเนื่องทุกปี กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมป๊อปที่ยิ่งใหญ่ด้วยเสรีภาพและอิสระทางด้านดนตรี.. อิสระของการแสดงออก  "อิสระเสรีทางความรัก" ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้ Elliot ตัดสินใจเลือกทางเดินครั้งสำคัญในชีวิตอีกด้วย


Ang Lee เล่าเรื่องโดยมุ่งเน้นไปที่การดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัว Elliot และภาพที่แสนวุ่นวายอลหม่านของผู้คนที่เดินทางเข้ามาดูดนตรี กับการเปิดเผยความเป็นโฮโมฯของ Elliot ดังนั้นหากคุณอยากชมเพื่อรับรู้ถึงประวัติศาสตร์การกำเนิดมหกรรมงานดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ที่จะถ่ายทอดให้เห็นภาพการแสดงและภาพของความรู้สึกของผู้คนติดขอบเวทีนั้นคงจะต้องผิดหวัง

เพราะภาพผู้คนนับแสนและเวทีกลายเป็นจุดเล็กๆ เป็นเพียงฉากหลังอย่างหนึ่งเท่านั้น น่าจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับและมือเขียนบทที่ต้องการให้ออกมาเป็นแบบนี้ และต้องการให้ต่างจากหนัง Woodstock (1970) ด้วยคำว่า Taking Woodstock ตัวหนังจึงออกมาดูสบายๆเป็น Happy Ending ที่เล่าถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องการทำสิ่งตนเองหวังให้สำเร็จ พร้อมกับบอกเล่า ความศรัทธา ความรู้สึก จิตวิญญาณ ของผู้คนที่มาด้วยใจเพื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ แถมไม่วายที่จะเสียดสีบ้างเล็กน้อย กับมหกรรมสร้างสงครามในช่วงเวลานั้นของอเมริกาทั้ง สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนามที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับ มหกรรมดนตรีพอดิบดี


Demetri Martin เล่นได้ดีและเป็นเกย์ที่น่ารักมาก รวมทั้งตัวละครอีกหลายคนเช่น Henry Goodman กับ Imelda Staunton ในบทพ่อแม่ ของ Elliot ที่ เล่นได้ดีและช่วยสร้างสีสันให้กับหนัง
Emile Hirsch (into the wild) มาเล่นบทรับเชิญเป็นทหารผ่านศึกเพี้ยนๆ เพื่อนของ Elliot